หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับ ปีศาจในคราบมนุษย์

10. Delphine LaLaurie


อันดับที่ 10 ได้แก่ Delphine LaLaurie เป็นคุณนาย The LaLaurie House (The Haunted House) ฉากหน้าเป็นไฮโซของสังคมอเมริกา ที่ใครๆ ต่างนับถือ แต่ฉากหลังผู้ต้องหาฆาตกรรมต่อ เนื่องพวกทาสผิวสีมากกว่า 10 ชีวิตที่ เพื่อนบ้านหลายคนได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวนจากบ้านหลังนี้บ้าน 10 เมษายน ปี 1833 เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจว่าเธอเฆี่ยนตีเด็กหญิง ผิวสีที่เป็นทาสอย่างทารุณ ซึ่งต่อมาเด็กหญิงก็ตกจากดาดฟ้า จนกระทั้ง ในปี 1834 เกิดเหตุไฟไหม้ เมื่อนักผจญเพลิงพังประตูเข้าไปก็พบทาสทั้งชายและหญิง ถูกล่ามบ้าง ถูกขังในกรงสุนัขบ้าง และพบชิ้นส่วนอีกจำนวนมาก บางคนถูกทำให้เสียโฉม บางคนถูกตัดทั้งแขนและขาทำให้เคลื่อนไหวเหมือนหนอนผีเสืออย่างน่าสมเพส อีกจำนวนหนึ่งถูกเย็บปากติดเพื่อให้อดอาหารจนตาย สุดท้ายคุณคิดว่าคุณนายคนนั้นจะไม่รอดข้อหาฆาตกรรมต่อเนื่องใช่เปล่า ผิดเลย เพราะเธอมีญาติเป็นถึงผู้ว่า อีกทั้งร่ำรวย เธอใช้เงินซื้อความยุติธรรมมาได้ และเธอไม่ถูกจับ และตอนท้ายเราก็ไม่ทราบข่าวจากเธอแล้ว ที่แน่ๆ บ้านหลังที่ว่ากลายเป็นบ้านผีสิงที่มีหลายคนพบเห็นวิญญาณหลอนหลายตัวในบ้าน The Haunted House ที่ นิวออร์ลีนส์

9. Ilse Koch


อันดับที่ 9 ได้แก่ Ilse Koch ได้รับฉายาเยอะจริงสำหรับผู้หญิงคนนี้ เช่น “นางแม่มดแห่งบูเชนวาล์ด” , “หญิงเลวแห่งบูเชนวาล์ด” เธอเป็นภรรยาของนายพลคาร์ล คอชห์ ผู้บัญชาการแห่งค่ายกักกันของนาซีประจำค่ายบูเชนวาล์ด(1937-1941) และมาจดาเนค (1941-1943) เธอเป็นคนบ้าอำนาจมากและเมื่อเธอได้ทำงานแทนสามี เธอก็มีเวลาว่างแสนสนุกสนานกับการทรมานและข่มขืนนักโทษในค่ายกักกันจนฉาวโฉ่ จนเป็นที่ร่ำลือในความโลกีย์ ว่ากันว่ารอยสักตามตัวของเธอนั้นจากการสังหารคนในค่ายกักกันหนึ่งคนต่อหนึ่งขีด (ขีดในร่างกายเธอมีประมาณ 250,000 ขีด!!) แต่ผลสุดท้าย เธอแขวนคอฆ่าตัวตายใน เรือนจำหญิงอิคช์แอคช์ ในวันที่ 1 เดือนกันยายน ปี 1967

8. Shir? Ishii


อันดับที่ 8 ได้แก่ Shir? Ishii เขาคนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ 731 การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรคเพื่อใช้ในสงครามอย่างมีประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆ ในการทดลองจำนวนมาก หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ “หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย” จากนั้นก็นายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้องปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์เป็นๆ การทดลองของโครงการนี้มีหลายอย่าง เช่น การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงไปในหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมาก ๆ, การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิส (หนองใน) นับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์, การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื่อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมาเป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็น ๆ, การจับเหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด, การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ, การจับมนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิเป็นลบ, การตัดเอาชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่, การตัดแขนขา และนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ ซากของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731

7. Ivan IV of Russia


พระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 แห่งรัสเซีย หรือ "อีวานผู้โหดร้าย" เพราะพระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่าทรงรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบาซิลที่ 3 แห่งไบแซนไทน์ และเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าอีวานที่ 3 พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าผู้ครองนครมัสโกโวท์ที่ได้ตั้งองค์เป็นตำแหน่ง ซาร์ อย่างเป็นทางการ ซาร์อีวานที่ 4 ครองราชย์สมบัติตั้งแต่พระชนม์ได้ 3 ชันษา โดยที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ พระนางเฮเลนพระราชมารดาทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ มหาวิหารเซนต์บาซิล อย่างไรก็ตามเมื่อซาร์อีวานที่ 4 ได้ทรงทำพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2090 และในปีเดียวกันนี้ได้ทรงอภิเษกกับอะนัสตาเซียแห่งสกุลราชวงศ์โรมานอฟ เป็นชื่อสกุลขุนนางที่สืบมาจากตระกูลเยอรมันชั้นสูงตระกูลหนึ่ง ซึ่งได้อพยพมาจากเยอรมนี ไปยังกรุงมอสโกในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 14 และได้เปลี่ยนสกุลใหม่ว่าสกุลคอชกิน สกุลนี้ได้รับราชการในพระราชสำนักของราชวงศ์รูริคตลอดมาเป็นเวลาร่วม 200 ปี ครั้งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 บุรุษในตระกูลคอชกินผู้หนึ่งชื่อว่า โรมานอฟ ยูริวิช เกิดความรู้สึกว่านาม "คอชกิน" นั้นยังไม่มีสำเนียงเป็นภาษารัสเซียพอ เขาจึงได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่ โดยตั้งชื่อตามชื่อแรกของตัวคือ "โรมานอฟ" ซาร์อีวานที่ 4 ได้ทรงเลือก อนาสตาเซียแห่งรัสเซียเป็นคู่อภิเษก พระองค์ทรงหลงรักเจ้าสาวของพระองค์อย่างดื่มด่ำมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อพระนางอนาสตาเซียสิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2103 ทำให้พระราชสวามีทรงโศกเศร้ามากถึงกับเสียสติไปและคอยทรงระแวงผู้คนตลอดเวลา โดยคิดว่าเขาเหล่านั้นได้วางยาพิษพระมเหสีสุดที่รักความแค้นเคืองเหล่านี้ เลยทำให้พระองค์ทรงมีสติวิปลาสไป เวลาที่ซาร์อีวานที่ 4 จะเสด็จพระราชดำเนินไปไหน พระองค์จะทรงถือพระแสงหอกไปด้วยเสมอและเมื่อข้าราชบริพารคนใดทำสิ่งใดให้ พิโรธ พระองค์ก็จะทรงใช้พระแสงนั้นทิ่มแทงผู้ที่เคราะห์ร้ายนั้นเสีย ซาร์อีวานที่ 4 ทรงอภิเษกสมรสอีก 6 ครั้ง แต่ก็ไม่ทำให้พระองค์มีอาการดีขึ้นในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ อีวานทรงประสบกับการหลอกหลอนจากกรรมต่าง ๆ ที่ได้ทรงกระทำไว้ในอดีตจนพระเกศาร่วงหมดและทรงร้องครวญครางอยู่ทุกคืน กล่าวกันว่า พระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2127 ด้วยพระชนม์เพียง 54 ชันษา

6. Oliver Cromwell


อันดับที่ 6 ได้แก่ Oliver Cromwell โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (อังกฤษ: Oliver Cromwell) (25 เมษายน ค.ศ. 1599 (ปฏิทินเก่า) - 3 กันยายน ค.ศ. 1658 (ปฏิทินเก่า)) เป็นผู้นำทางการทหารและทางการเมืองชาวอังกฤษที่เป็นที่รู้จักกันดีในการเกี่ยวข้องกับเปลี่ยนระบบการปกครองของอังกฤษเป็นแบบสาธารณรัฐในฐานะ “เจ้าผู้พิทักษ์” (Lord Protector) แห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ครอมเวลล์เป็นแม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพตัวอย่าง (New Model Army) ผู้ได้รับชัยชนะต่อกองทัพของ ฝ่ายกษัตริย์นิยม (Cavalier) ในสงครามกลางเมืองอังกฤษ หลังจากปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1649แล้ว ครอมเวลล์ก็มีอิทธิพลต่อเครือจักรภพแห่งอังกฤษ อยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นในขณะเดียวกับที่ได้รับชัยชนะในการปราบปรามสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ และปกครองในฐานะ “เจ้าผู้พิทักษ์” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1653 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1658 ครอมเวลล์เป็นบุตรของชนชั้นผู้ดีชั้นกลางและไม่ได้เป็นที่รู้จักจนเมื่ออายุได้ 40 ปี และได้ใช้ชีวิตอย่างเกษตรกรผู้มีอันจะกินจนกระทั่งมามีฐานะดีขึ้นบ้างเมื่อได้รับเงินมรดกจากลุง ในช่วงนั้นครอมเวลล์ก็เปลี่ยนศาสนาและมายึดแนวชีวิตแบบเพียวริตันเป็นหลัก ครอมเวลล์ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในแขวงเคมบริดจ์ในสมัยรัฐสภาสั้น (ค.ศ. 1640) และ รัฐสภายาว ระหว่างปี ค.ศ. 1640 ถึงปี ค.ศ. 1649 ต่อมาก็เข้าร่วมสงครามกลางเมืองอังกฤษ ทางฝ่ายรัฐสภา (Roundheads) ครอมเวลล์เป็นนายทหารที่มีสมรรถภาพที่ได้รับสมญาว่า “Ironsides” และได้เลื่อนจากการควบคุมกองทหารกองเดียวไปจนเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอังกฤษ ครอมเวลล์เป็นคนที่สามที่ลงนามในการสั่งปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในปี ค.ศ. 1649 และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภารัมพ์ระหว่างปี ค.ศ. 1649 ถึงปี ค.ศ. 1653 และได้รับเลือกจากรัฐสภาให้เป็นผู้นำทัพในการรบในไอร์แลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1649 ถึงปี ค.ศ. 1650 หลังจากนั้นครอมเวลล์ก็นำการต่อสู้ในสกอตแลนด์ระหว่างปี ค.ศ. 1650 ถึงปี ค.ศ. 1651 เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1653 ครอมเวลล์ก็บังคับยุบรัฐสภารัมพ์โดยใช้กำลังและก่อตั้ง “รัฐสภาแบร์โบนส์” (Barebones Parliament) อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่ได้รับเลือกให้เป็น “เจ้าผู้พิทักษ์” แห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1653 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1658 ร่างของครอมเวลล์ถูกฝังไว้ที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์แต่เมื่อฝ่ายฟื้นฟูราชวงศ์ได้อำนาจคืนในปี ค.ศ. 1660 ร่างของครอมเวลล์ก็ถูกขุดขึ้นมาประหารชีวิตโดยการแขวนด้วยโซ่และตัดหัว

5. Jiang Qing


เจียงซิงมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากสตรีในประเทศคอมมิสนิสต์ทั่วไป นั่นคือเธอมักแต่งกายตามแบบสากล มีสีสันฉูดฉาด ราคาแพง และรองเท้าส้นสูง สำหรับเรื่องการสวมรองเท้านั้นเจียงซิงให้เหตุผลว่า เมื่อสวมแล้วจะทำให้หลังไม่โก่ง สิ่งที่เจียงซิงปฏิบัติในยามว่างอยู่เป็นประจำอีกประการหนึ่งคือ การอ่านนิยายและข่าวภายในประเทศเท่านั้น เมื่ออายุ 60 ปีเต็ม เจียง ชิงก็เริ่มคิดการณ์ใหญ่ โดยคบคิดกับนายพลหลินเปียว ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลาโหมเฉินป้อต๋า จางชุนเฉียวและคังเฉิง ซึ่งแท้จริงก็คือ คุณชายจาง สามีคนแรกของหยุนเฮ่อในวัยแรกแย้ม ทำการปลุกระดมทางวัฒนธรรมขึ้นจนสามารถกุมอำนาจการ บริหารประเทศเอาไว้ในกำมือของตน และพรรคได้เป็นเวลานานถึง 10 ปี การขึ้นมาครองอำนาจระดับสูงของเจียงซิงนั้น กล่าวกันว่ามาจากการเป็นภรรยาของเหมาล้วนๆ เนื่องจากนางไม่ใช่คนที่มีการศึกษาดี หรือมีความสามารถโดดเด่น แม้แต่การเป็นนักแสดงซึ่งเป็นอาชีพเก่า ก็เป็นเพียงนักแสดงชั้นสอง แต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ทำให้นางครองตำแหน่งสูงทางการเมือง ประกอบกับการเป็นคนที่มีปมด้อยไม่อยากเห็นใครเด่นเกินหน้า ในช่วงปลายของชีวิตประธานเหมา นางกับพรรคพวกได้กีดกันผู้นำพรรคคนอื่นๆ ที่เป็นปรปักษ์ไม่ให้เข้าใกล้ประธานเหมา พร้อมทั้งทำลายชื่อเสียง เกียรติคุณของทั้งโจวเอินไหล เติ้งเสี่ยวผิง และครอบครัวนักปฏิวัติที่ร่วมสร้างชาติมากับประธานเหมาท่ามกลางเสียงก่นด่าของประชาชนอีกด้วย เจียงซิงเป็นภรยาคนที่ 3 ของประธานเหมาและเป็นคนสุดท้าย โดยใช้ชีวิตคู่ร่วมกับประธานเหมานานถึง 37 ปี เจียงซิงเริ่มก้าวขึ้นมามีบทบาทระดับนำในพรรคช่วงบั้นปลายชีวิตของประธานเหมา เจียงซิงร่วมกับสมาชิกระดับแกนนำของพรรคอีก 3 คนคือ จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน และหวังหงเหวิน ในนามแก๊ง 4 คน โดยใช้กรปฏิวัติวัฒนธรรม กำจัดผู้ที่คิดต่างทางการเมือง และปลุกระดมให้เกิดการกวาดล้างผู้ไม่ซื่อตรงต่อพรรค และพวกลัทธิแก้และนายทุน ครั้งมโหฬาร ในระหว่างปี 1966 -1976

4. Pol Pot


อันดับที่ 4 ได้แก่ Pol Pot ซาลอท ซาร์ (Saloth Sar) หรือ พล พต (Pol Pot) (พ.ศ. 2468-พ.ศ. 2541) เป็นผู้นำเขมรแดง และเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาในปี พ.ศ. 2519-พ.ศ. 2522 พล พต ปกครองเขมรแดงตั้งแต่ พ.ศ. 2518-พ.ศ. 2522 ใช้วิธีที่รุนแรง เพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง รวมถึงการโดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิผลต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ฯลฯ และจัดให้พวกที่ทำมาหากินอยู่ในเขตเมือง ออกไปทำงานในฟาร์มนอกเมือง

3. Heinrich Himmler


อันดับที่ 3 ได้แก่ Heinrich Himmler ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (เยอรมัน: Heinrich Himmler; 6 มกราคม - 29 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส และเกสตาโป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้สมรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว และเขาไดสร้างค่ายกักกันเอาชวิทซ์ในประเทศโปแลนด์ ซึ่งคราวหลังเขาถูกพันธมิตรจับกุมตัวได้และเขาได้ฆ่าตัวตาย ในปี ค.ศ. 1945

2. Adolf Hitler


อันดับที่ 2 ได้แก่ Adolf Hitler อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (เยอรมัน: Adolf Hitler; 20 เมษายน ค.ศ. 1889 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945) เป็นนักการเมืองเยอรมนี เกิดที่ออสเตรีย เขาเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน (พรรคนาซี) ฮิตเลอร์ได้เป็นมุขมนตรีของเยอรมนี (หรือนายกรัฐมนตรี) ในปี ค.ศ. 1933 และได้เป็นผู้นำของนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ. 1934 – 1945 เป็นผู้นำเผด็จการของเยอรมนี ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก็ได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเยอรมนี และเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในปี ค.ศ. 1919 ฮิตเลอร์ได้ทำหน้าที่เป็นทหารอยู่ในเยอรมนี หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าร่วมกับพรรคนาซี และได้เป็นหัวหน้าพรรคในปี ค.ศ. 1921 เขาได้พยายามก่อการปฏิวัติแต่ไม่สำเร็จจนต้องถูกจำคุกในปี ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์นั้นเป็นนักชาตินิยม และมีแนวคิดต่อต้านชาวยิว ลัทธิทุนนิยม และลัทธิคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้เขายังให้การสนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อด้วย ฮิตเลอร์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1933 และเขาก็ได้ผู้นำเผด็จการในที่สุด ต่อมาเยอรมนีก็ได้ยกทัพบุกโปแลนด์ ทำให้เกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1939 3 ปีต่อมา นาซีเยอรมนีและกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ได้รับชัยชนะในการรบหลายครั้ง ได้ครอบครองอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชียตะวันออก และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่อย่างไรก็ตามหลังปี ค.ศ. 1942 ฝ่ายสัมพันธมิตรก็เริ่มตีโต้ได้มากขึ้น ในขณะที่เยอรมนีเริ่มเพลี่ยงพล้ำ และพ่ายแพ้ จนในที่สุด เมื่อกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตล้อมกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ฮิตเลอร์ก็ได้แต่งงานกับ อีวา บราวน์ คนรักของเขา หลังจากนั้นฮิตเลอร์ก็ยิงตัวตาย พร้อมกับภรรยาในกรุงเบอร์ลินเมื่อปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1945

1. Josef Stalin


อันดับที่ 1 ได้แก่ Josef Stalin โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาคือ ????? ?????????? ?? ????????? Ioseb Besarionis dze Jughashvili โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี เขาเกิดที่เมือง โกรี ประเทศจอร์เจีย รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เขาก็เป็นชาวจอร์เจียนโดยกำเนิด โดยชื่อ สตาลิน นี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า) เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ต่อมาพ่อของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองทิฟลิส ทำให้สตาลินต้องอาศัยอยู่กับมารดาเพียงคนเดียวในจอร์เจีย[1] สตาลินนั้นเป็นเด็กที่เรียนดี เขาเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง แต่ต่อมาเขาเริ่มสนใจในลัทธิมาร์กซ์ ทำให้เขามีความคิดต่อต้านศาสนา และเริ่มใช้ชื่อว่า โคบา อีกทั้งยังเขาร่วมกับพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยแห่งรัสเซีย จนในที่สุด เขาก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ์ หลังจากนั้นเขาก็ใช้ชื่อว่า สตาลิน และทำงานอยู่ที่เมืองทิฟลิส ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงได้ สตาลินก็ได้รับตำแหน่งคอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่างๆ[1] จนเมื่อเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นไปอีก จนได้เป็นเลขาธิการพรรคใน ค.ศ. 1922 จนกระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสตาลินกับ ลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินก็ชนะ จึงได้เป็นประธานาธิบดีต่อจากเลนิน ทำให้ทรอตสกีต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก แต่ในที่สุด ทรอตสกีก็ถูกลอบสังหารที่แม็กซิโกนั่นเอง ใน ค.ศ. 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรคหรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไมมีการสำรวจประชากรว่าระหว่างเขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียตลอดไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย ปี ค.ศ. 1941 - ค.ศ. 1945 เขานำโซเวียตชนะสงคราม โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1953 หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้งประณามขุดคุ้ยความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้นสตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อลิซาเบธ บาโธรี่ ฆาตกรหญิงอันดับ 2 ของโลก

เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ
และต้องการคงร่างของตนเองให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
เธอมีความคิดวิปริตว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว
จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป

เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์
มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden)
แล้วอาบต่างน้ำโดยมีเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน
กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า
The Bloody Countess และ Countess Dracula
อลิซาเบธ เกิดในปี ค.ศ. 1560 ถึงค.ศ 1614

ในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย
สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป
ตระกูลบาโธรี่ร่ำรวยและมีอำนาจล้นฟ้า
ปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายสมัย

เป็นธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อรักษา
ทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการ
บกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจากลักษณะทางพันธุกรรม

เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย พฤติกรรมรักร่วมเพศ สาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม
อลิซาเบธก็เช่นเดียวกัน

อลิซาเบธมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ
มีการกล่าวว่าในสมัยเด็กเธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
ถึงขั้นกัดเนื้อหลุดออกมาจากไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล
และเมื่ออลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง
น่าแปลกที่อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง
นับแต่นั้นมาทุกครั้งที่เอลิซาเบธเกิดอาการปวดหัว

เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ
ปีค.ศ 1575 เมื่ออลิซาเบธอายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้
ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ
ในสโลวาเกีย แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท
ชีวิตสมรสของอลิซาเบธจึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก
ปีค.ศ 1600 อลิซาเบธอายุ 40 ปี ฟีเรนซ์เสียชีวิตไปด้วยอายุ 5
1 ปี
ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของเคานท์เตสส
วันหนึ่งขณะสาวใช้กำลังสางผมให้กับอลิซาเบธ คงเพราะเกร็งจึงออก
แรงมากไปดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น อลิซาเบธระเบิดอารมณ์ทันที

เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ
จนกระทั่งอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจแล้วก็ยังทุบต่อเสียจนหนำใจ
และเมื่ออลิซาเบธวางมือจากเชิงเทียนก็พบว่ามีเลือดติดอยู่ที่มือ
พอเช็ดออกเธอเห็นว่าผิวหนังส่วนนั้นกลับดูเต่งตึงมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าก่อน
เลือดของเด็กสาวนี่เองที่เป็นยาอายุวัฒนะที่ได้ผลชะงัดที่สุด (เข้าใจผิดไปเอง)
ด้วยเหตุนี้โศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คน
เพื่อประทังความงามของอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น

เอ ลิซาเบธเริ่มทำการรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆในดินแดนของตน ชาวบ้านที่ยากจน ต่างก็ยินดีที่จะส่งลูกสาวเข้ามาทำงานในปราสาท เพียงเพื่อ แลกกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด เหล่าเด็กสาวพากันลอดประตูปราสาทเข้ามา ด้วยใบหน้าร่าเริงราวกับจะไปปิคนิค แต่ไม่มีใครที่รอดกลับมาได้ พวกเธอถูกคั้นเลือดออกมาจนหยดสุดท้ายแล้วถูก ฝังไว้ในสวนหลังปราสาท โดยที่ พ่อแม่พี่น้องไม่มีโอกาสจะทราบถึงวิธีการทรมานของอลิซาเบธ ที่ยกระดับการ ทรมานยิ่งกว่าเก่ามีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปาก แล้วฉีกร่างของเหยื่อ ออกเป็นสองซีก เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีถูกตัดเท้าทิ้ง

มีบันทึกกล่าว ถึงงานฉลองที่อลิซาเบธจัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมางานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำแม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตายและทหารก็กรูกัน เข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืน แล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมาก จนสิ้นลม ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และอลิซาเบธก็เปลื้องผ้า ของตนลงแช่ในอ่างเลือดนี่เอง แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธอ อยู่ดี อลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วย การปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมา ใส่ตนเองเหมือนกับฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษา สุขภาพหูของอลิซาเบธ

อีกสิ่ง หนึ่งที่อลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลก ก็คือเครื่องมือทรมานที่มีชื่อ เสียงที่สุดชิ้นหนึ่งชื่อว่า Iron Maiden ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยาย เกี่ยวกับเครื่องทรมานไว้ดังนี้


"ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปากก็จะปรากฏรอย ยิ้มอันเลื่อนลอยดุดันขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่มตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมากอดอก คนที่อยู่ในระยะรัศมีจะถูกแขนของตุ๊กตา กอดไว้ พร้อมกันนั้นส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและ ด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Leatherface

เข้าว่ากันว่าคลิปนี้เป็นคลิปจริงที่ถ่ายขึ้นจริงๆแต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือปล่าวมันชื่อว่า Leatherface มันมีหนังด้วยนะครับมีหลายภาคแต่ว่าภาคเก่าๆที่คลาสิคๆมันหายากมากก็ลองไปหาดูกันเอานะครับ

ตำนานศพที่13

       
..............ตำนานศพที่ 13 Concept ...................

บันทึกลับดังต่อไปนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เรื่องราวที่ถูกบันทึกในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ถูกปิดเงียบโดยเจ้าหน้าที่ เพราะเป็นคดีสะเทือนขวัญ และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปิดคดีนี้ได้

มันได้เริ่มถูกบันทึกเมื่อวันที่ 13/01/95 (2538) มันเป็นเรื่องราวของฆาตกร 13 ศพ ถูกบันทึกโดยผู้ซึ่งฆาตกรเป็นผู้บอกกล่าว

?เขา เป็นคนทำ เป็นคนลงมือ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ แต่เมื่อดูในแววตาที่เฉยชาของเขาแล้ว รู้สึกได้ว่า เขาพอใจในการกระทำ?
?ทุกๆ ศพที่เขาฆ่า เขาบอกกับผม ถึงความรู้สึก และบรรยากาศ?
?แต่ศพสุดท้าย เขาไม่ได้บอก?

ศพที่ 1 ใช่ มันเป็นการพลั้งมือ เพราะเขาไม่ได้เป็นฆาตกรโดยกำเนิด แต่ดูเหมือนเขากำลังเรียนรู้อยู่ อารมณ์ที่โมโหร้ายของเขา ทำให้พี่สาวของเขาตาย มีดปลายแหลมที่คมกริบ แทงเพียงครั้งเดียวเข้าทรวงอก เหตุจากความไม่ลงลอยกันขั้นรุนแรง เขาเสียใจที่ทำ แต่ดูเหมือนเขาจะค้นพบอะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึก แต่มันก็เพียงศพแรกของเขา และเป็นพี่สาวของตัวเอง จึงทำให้เขารู้สึกผิด แต่เขาก็ได้นำศพไปฝังโดยที่ไม่มีใครรู้

ศพที่ 2 เป็นศพที่เขาตั้งใจฆ่า มันเป็นความริษยาของตัวเขาเอง รายนี้เป็นเพื่อนของเขาเอง ดูจากภายนอกทุกคนจะคิดว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แม้แต่ผมก็คิดเช่นนั้น แต่ในใจของเขามีแต่ความอิจฉาริษยา เพราะเพื่อนคนนี้ เหนือกว่าเขาในทุกๆ ด้าน แต่เขาก็เสแสร้งทำดีกับเพื่อน เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะมอบความเจ็บปวดและความตายให้กับเพื่อนคนนี้ มีดเล่มเดิม เขาได้ใช้มันอีกครั้ง กับเพื่อนของเขา เขาแทงอย่างเมามัน เหมือนกับว่านั่นคือศัตรู แต่จริงๆ คือเพื่อนที่ไม่เคยทำร้ายเขาเลย

ศพที่ 3 มันเป็นการตอกย้ำในความรู้สึกที่อยากจะฆ่า มันเริ่มฝังรากลึกลงในจิตใจแห่งฆาตกร หลังจากที่เขานำศพของเพื่อนเขาไปฝัง เพื่ออำพรางคดี เขาได้ไปหาแฟนสาวของเพื่อนที่เขาเพิ่งฆ่าไป ซึ่งผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เขาเคยชอบ เขาต้องการมอบความรักอย่างเจ็บปวดให้กับเธอ เขาชวนเธอไปเที่ยวตามประสาเพื่อน โดยที่เธอยังไม่รู้ว่าคนรักของเธอตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเขา หลังจากที่เขามอมยาเธอ เธอก็หมดสติไป แต่เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่ากำลังถูกมัดแขนขาอยู่กับเตียง ในห้องแห่งหนึ่ง และร่างกายของเธอก็เปลือยเปล่า เธอเห็นเขายืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วเขาก็พูดว่า ?สวัสดี? หลังจากนั้นเขาก็เล่าให้เธอฟังถึงคนรักของเธอว่าตายอย่างไร แล้วเขาก็ให้ยาหลอนประสาทเธอกิน เขาใช้มีดเล่มเดิม กรีดเบาๆ ตั้งแต่หน้าอกลงมา เลือดไหลซิบๆ แต่ด้วยฤทธิ์ยา เธอเซื่องซึม ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ทันใดนั้น เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น เมื่อเขากดมีดลงไปแล้วกรีดลงมา เธอตาย แล้วเขาก็นำศพเธอไปฝังกับคนรักของเธอ ?รักกันนานๆนะ? แล้วเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุข

เขาเริ่มบ้าต่อความตาย เริ่มหาเหยื่อเหมือนกับว่าเป็นสัตว์ร้ายออกล่าเหยื่อ เขาอยากทำอีก เขาพยายามหาเหยื่อที่ไม่รู้จักบ้าง เพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่าคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และแล้วเขาก็ได้พบจริงๆ ทันทีที่เห็น เขารู้สึกได้เลยว่าพวกมันจะต้องตาย ชายหญิงสองคู่ได้มาเที่ยวกลางป่า บริเวณที่เขากบดานอยู่ เขาเห็นภาพอันอุจาดตา ที่ชายหญิงสองคู่นั้นกำลังปฏิบัติกันอยู่กลางป่า และในคืนนั้นชายหญิงกลุ่มนั้นก็หลับสนิทด้วยความเพลีย เขาเดินดูรอบๆ ที่ที่ชายหญิงกลุ่มนั้นนอนอยู่ เขามองอยู่นานเพราะใจจริงอยากจะฆ่าตอนที่ตื่นอยู่มากกว่า แต่เหยื่อมีถึงสี่คน ฉะนั้นเขาจึงต้องลงมือตอนหลับ ขวานด้ามใหญ่ถูกนำมาใช้ครั้งแรก เขาสับขวานลงไปที่คอของชายคนแรก หัวหลุดอย่างเงียบๆ อีกสามคนไม่มีใครรู้สึกตัว และการสับครั้งที่สอง ทำให้หัวของชายคนที่สองหลุด แล้วก็ตามด้วยหญิงคนที่สาม หัวหลุดเช่นกัน ตอนนี้เหลือแต่หญิงคนสุดท้าย เขายังไม่ฆ่า ปล่อยให้นอนกับเพื่อนอีกสามคนที่ไม่มีหัวจนถึงเช้า เสียงกรีดร้องดังขึ้น มันบ่งบอกว่าเช้าแล้ว เขาจึงไปหาเธอ หญิงคนนั้นกำลังตกใจสุดขีด แล้วเขาก็ปลอบขวัญเธอด้วยขวาน เขาเฉาะเข้าที่หน้าอกของเธอ แล้วก็สับลงที่คอ หัวหลุด เพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้าเพื่อนทั้งสาม และนั่นก็คือ ศพที่ 4 ศพที่ 5 ศพที่ 6 และศพที่ 7 ของเขา

เขาบอกผมว่า นั่นเป็นการฆ่าคนที่ไม่รู้จักกันครั้งแรก ความรู้สึกก็ธรรมดา คิดว่าฆ่าคนที่รู้จักจะรู้สึกดีกว่า แต่เขาก็อยากจะลองดูอีกสักครั้ง เขาจึงกลับเข้าไปในเมืองเพื่อหาเหยื่อที่น่าจะตาย ในขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้รับแจ้งเหตุจากญาติของหนุ่มสาวทั้งสองคู่ จนเจ้าหน้าที่ติดตามหาหนุ่มสาวทั้งสี่พบ ซึ่งอยู่ในสภาพที่น่าสะอิดสะเอียน เจ้าหน้าที่ปิดข่าวเงียบ แต่ก็ได้ออกติดตามตัวคนร้าย

หลังจากที่เขาเข้ามาในเมืองแล้ว เขาได้เข้าไปในบาร์แห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและหญิงบริการ ได้เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างท้วมท่าทางเป็นคนรวยลักษณะอวดเบ่ง กำลังพาหญิงบริการคนหนึ่งออกไป คงจะพากันไปเสพสมกันแน่ เขาจึงได้ติดตามไปจนพบบ้านหลังใหญ่ คงเป็นบ้านของชายผู้นั้น สงสัยเมียคงไม่อยู่เลยกล้าพาหญิงอื่นเข้าบ้าน เขาได้แอบปีนรั้วเข้าไป และก็ปีนขึ้นไปตรงหน้าต่างที่มีแสงไฟสว่าง เขาแอบอยู่ที่หน้าต่างสักพัก เมื่อทั้งสองปฏิบัติกามเสร็จก็หลับไป เขาจึงย่องเขาไปในห้อง แล้วก็ใช้มีดเสียบลงไปตรงหน้าอกของชายผู้นั้น เสียงร้องดังลั่น ผู้หญิงจึงตื่น แต่ก็ถูกเขาจัดการมัดมือเท้าและปิดปาก แล้วเขาก็ ทำการคว้านเครื่องในของชายผู้นั้นต่อหน้าเธอ เขานำลำไส้เล็กมาคล้องคอเธอ เธอคงช๊อคมาก สายตาของเธอพยามอ้อนวอนขอร้องว่าอย่าทำเธอเลย เมื่อมีความสุขได้ที่แล้ว เขาก็นำมีดเสียบเข้าไปในช่องคลอดของเธอ แล้วดึงออกมาพร้อมกับสายเลือดที่แดงสด เธอเจ็บมากแต่ไม่สามารถร้องได้ เขาก็นั่งดูเธอ ดูสายเลือดที่ไหลออกมาเรื่อยๆ จนตัวเธอซีด เธอตาย คืนนั้นเป็น ศพที่ 8 และศพที่ 9 ของเขา

ทางด้านเจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตามคดีอยู่ ก็ได้ผูกเรื่องศพทั้งสี่ในป่า กับสองศพในบ้านเข้าด้วยกัน คิดว่าต้องเป็นฆาตกรคนเดียวกันแน่ เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งได้แกะลอยจนรู้ว่า ฆาตกรคือใคร เพราะได้ผูกเรื่องก่อนหน้านี้ ทั้งพี่สาวของฆาตกรและเพื่อนของเขาที่หายตัวไป ซึ่งจริงๆได้ถูกเขาฆ่าและฝังไปแล้ว เจ้าหน้าที่จึงหาศพไม่พบ เขาเริ่มที่จะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกเจ้าหน้าที่ผู้นั้นติดตามอยู่ เขาจึงไม่รีรอที่จะกระทำการฆ่า

ผมคิดว่าเขามีพรสวรรค์ในการฆ่าคนมาก แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่เก่งๆ ผู้นี้ยังต้องเป็น ศพที่ 10 ของเขาเลย ในบ้านของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น ซึ่งยังไม่ทันจะควักปืนออกมา ก็ถูกเขาเสียบเข้าที่ด้านหลังนับสิบแผล แล้วเขาก็จัดการแยกชิ้นส่วนแขน ขา หัวออกจากกัน เพื่อให้คนอื่นๆ รู้ว่า อย่ามายุ่งกับเขา และเช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าวเรื่องเจ้าหน้าที่ตายอย่างสุดโหด เขาไม่ค่อยพอใจที่เป็นข่าวขึ้นมา ถึงแม้หนังสือพิมพ์จะไม่รู้เรื่องมากนัก แต่ก็ต้องทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น เมื่อได้รู้ว่าใครคือนักข่าวที่ออกข่าวนั้น เขาจึงเริ่มติดตามนักข่าวผู้นั้น

นักข่าวผู้นั้นเป็นผู้หญิง เป็นม่ายมีลูกติด เป็นลูกผู้หญิง และแน่นอน เขาย่องเข้าไปในบ้านของนักข่าวสาวผู้นั้น เห็นเธอกำลังอาบน้ำอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า ?เธอใช่ไหม ที่กำลังแกะลอยข่าวฆาตกรรมของฉันอยู่? เธอตกใจมาก ?แกเป็นใคร ต้องการอะไร? เธอ ถามกลับ เขาจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมมีดคู่กายเล่มเดิม ทันใดนั้น เธอขว้างขวดน้ำหอม เข้าที่หัวของเขา เลือดไหลเป็นทาง เขาล้มลง นักข่าวสาวก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องน้ำ แต่ก็ไม่ทัน เขาวิ่งตามเธอลงไปที่ชั้นล่าง และเขาก็ผลักเธอไปติดกำแพง เขาบีบคอเธอ มืออีกข้างหนึ่งก็ถือมีดอยู่ เขาค่อยๆ เสียบมีดเข้าที่หน้าท้องของเธอ เลือดเธอกออกปาก เธอคือ ศพที่ 11

ทันใดนั้น ก็มีเด็กสาวคนหนึ่ง เดินลงมาเห็นสภาพแม่ของตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่ เด็กคนนั้นไม่ร้องส่งเสียง แต่กลับวิ่งขึ้นไปข้างบน เขาทำอะไรไม่ถูก สับสน เพราะเขาไม่เคยฆ่าเด็กเลย เขาไม่อยากฆ่าเด็ก เขาเดินวนไปวนมาอยู่นาน แต่เขาต้องทำ เพราะเด็กเห็นเขาแล้ว เขาเดินขึ้นไปข้างบนพร้อมมีด เห็นเด็กน้อยนั่งขดตัวอยู่มุมห้อง เขาเดินเข้าไปหาเด็ก เขายิ่งไม่อยากทำมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นน้ำตาของเด็กน้อย มือของเขาสั่น ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าฆาตกรใจโหด***มเช่นเขา จะต้องพ่ายแพ้เด็กหญิงตัวน้อยๆอย่างนั้นหรือ

?เปล่า? มันไม่เป็นเช่นนั้น เขาเชือดคอเด็กน้อย ตายทั้งน้ำตา เป็น ?ศพที่ 12?

หลังจากที่เขาฆ่าเด็ก เขาก็เก็บตัวเงียบไม่ฆ่าใครอีกเลย และวันหนึ่งเขาก็มาหาผม ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาคือฆาตกร แต่ก็รู้ข่าวที่มีการฆาตกรรมอย่างโหด***ม แต่ไม่รู้ว่าเป็นเขา จนเขาเองนั่นแหละเป็นคนบอกกับผม ว่าเขาคือฆาตกร ?ทุกๆ ศพที่เขาฆ่า เขาบอกกับผม ถึงความรู้สึก และบรรยากาศ? เขาพอใจที่ได้ทำลงไปแต่เมื่อเล่ามาถึงเด็กน้อย เขากลับมีน้ำตา เขาบอกว่ายังจำใบหน้าของเด็กน้อยที่นองไปด้วยน้ำตาได้อยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็กลับไป

หลังจากนั้นสามวัน ผมก็ไปหาเขาที่ห้องพัก ผมหวังว่าเขาจะไม่ฆ่าใครอีก แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เขาฆ่าคนอีกแล้ว แต่ศพนี้มันเป็นศพสุดท้ายของเขา และเขาก็จะไม่สามารถฆ่าใครได้อีกแล้ว เพราะศพนั้นคือตัวเขาเอง เขาเชือดคอตัวเอง เลือดหยดสุดท้ายที่ไหลจากตัวเขา นองลงสู่พื้นดิน ซึมไปกับความเจ็บปวดของเขา ในมืออีกข้างถือรูปลูกสาวของเขาอยู่ ผมเดาว่าเด็กน้อยที่เขาฆ่า อาจมีหน้าตาเหมือนกับลูกสาวของเขาที่ตายไปนานแล้ว เขาคงเสียใจมาก จึงตัดสินใจทำให้ตัวเองเป็น ศพที่ 13

10 คนที่เชื่อว่ายังไม่ตาย


อันดับ 10


กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 แห่งรัสเซีย

กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น แต่เนื่องจากปัญหาต่างๆภายในครอบครัวของพระองค์ทำให้บัลลังค์ต้องสั่นคลอน ในปี 1825 กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ทรงกำลังเดินทางไปยังเมืองครีเมีย ซึ่งช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวทำให้พระองค์ทรงประชวรอย่างหนักและสิ้นพระชนม์ลงอย่างเฉียบพลัน งานศพถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่มีใครได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์เลยเพราะศพถูกเก็บในโลงและถูกปิดอย่างมิดชิด นี่เองทำให้เกิดคำถามต่างๆมากมายว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จริงหรือล่า หลายๆคนเชื่อว่าพระองค์อยากจะสละบัลลังค์อย่างเงียบๆและใช้วิธีนี้เพื่อที่จะไม่เป็นที่สงสัยมากนักความสงสัยอยู่เคียงคู่กับรัสเซียมากว่า 100 ปี จนกระทั่งในปี 1925 มีการเปิดสุสานเพื่อพิสูจน์และก็ต้องตกใจกันเมื่อพบว่าโลงศพนั้นว่างเปล่า!!!

อันดับ 9


เจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์

เจ้าหญิงของโลกองค์นี้ทรงทำคุณประโยชน์ต่างๆมากมาย เช่น การนำเรื่องโรคเอดส์ให้เกิดเป็นกระแสสังคมโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนา ฯลฯ ชีวิตของพระองค์เหมือนเทพนิยายตั้งแต่การได้สมรสกับเจ้าฟ้าชายชาล และมีบุตรที่น่ารักอีก 2 พระองค์ แต่แล้วข่าวร้ายของคนทั้งโลกก็เกิดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม เจ้าหญิงไดอาน่าและแฟนใหม่ โดดี้ เอาฟาเย็ต เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในอุโมงค์แห่งหนึ่งของปารีส หลายๆคนไม่เชื่อว่านี่คืออุบัติเหตุ แต่มันคือการสั่งเก็บซึ่งเป็นคำสั่งตรงมาจาก เจ้าชายฟิลิปส์ ดุคแห่งอีดินเบิก แต่อีกหลายๆฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหญิงและแฟนใหม่ของพระองค์ยังไม่เสียชีวิต! มีภาพหลายๆภาพอ้างว่าเป็นภาพของเจ้าหญิงไดอาน่าซึ่งกำลังตั้งครรถ์นั่งอยู่บนรถเข็น ซึ่งเด็กในท้องเชื่อว่าเป็นลูกของ โดดี้ เอาฟาเย็ต ลูกชายเจ้าของห้างแฮร็อด ชื่อดัง คุณเชื่อหรือไม่?

อันดับ 8


จิม มอริส

จิม เป็นนักดนตรีที่โด่งดังมากในยุค 60 หลังจากที่เค้าย้ายไปอาศัยอยู่ที่กรุงปารีส เค้าตกหลุมรักปารีสอย่างจังและเริ่มแต่งกลอนต่างๆมากมายให้กับเมืองนี้ ระหว่างนั้น จิม เริ่มที่จะเปลี่ยนลุคของตัวเองโดยการไว้หนวดเคราอย่างรุงรัง และกลายเป็นคนเก็บกด ในวันที่ 3 กรกฏาคม มีคนพบศพเค้าอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่ไม่ได้มีการชัณสูตรศพเค้าแต่อย่างใดเพราะไม่พบร้องรอยอะไรที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการฆาตกรรม ศพเค้าถูกฝังในโลงที่ถูกปิดตายและสาเหตุการตายที่ถูกระบุคือ หัวใจวาย อย่างไรก็ตามการตายของเค้ายังเป็นสิ่งที่น่าสงสัย แฟนสาวเค้ากล่าวว่า จิม ใช้โคเคนและเฮโลอีน และอาจจะเป็นไปได้ว่าเค้าเส้นเลือดในสมองแตก บางคนก็บอกว่าอาจจะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว แต่ข่าวที่ดังตอนนั้นคือหลายๆคนเห็น จิม ขึ้นเครื่องบิน 1 วันก่อนที่จะมีข่าวเสียชีวิตของเค้า ซึ่งคนที่พบเห็นบอกว่าดูท่าทางจิมจะลุกลี้ลุกลนด้วย

อันดับ 7


D.B. Coope

ดี บี คูเปอร์ อาจจะไม่ใช่ดารา แต่การหายตัวไปของเค้าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ข่าวที่บอกว่าเค้าเสียชีวิตไปแล้วนั้นไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมขณะนั้นเลย เค้าจี้เครื่องบิน Boeing 727 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน และเรียกค่าไถถึง 2 แสนเหรียญสหรัฐซึ่งทางการก็ยอมจ่ายให้เพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนเครื่อง เมื่อเค้าได้เงินแล้ว คูเปอร์ ก็กระโดดร่มออกจากเครื่องบินและไม่มีใครพบเห็นเค้าอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีหลักฐานแสดงว่าเค้าตายหรือไม่ และข้อมูลภูมิหลังของเค้าก็มีน้อยมากๆ และเงินที่เค้าได้ไปก็ยังไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ และหลายปีหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น FBI ก็สามารถหาหลักฐานต่างๆมาได้เพื่อจะพิสูจน์ว่า คูเปอร์ ตายแล้ว แต่หลายๆฝ่ายเชื่อว่าเค้ายังมีชีวิตและหลบอยู่ที่ใดซักที่หนึ่ง

อันดับ 6


อะมีเลีย เอียฮาร์จ

อะมีเลีย เอียฮาร์จ เป็นนักบินหญิงที่สามารถจารึกชื่อของเธอลงในประวัติศาสตร์การบินได้เป็นคนแรก เธอสร้างสถิติการเป็นผู้หญิงคนแรกที่บินข้ามแอดแลนติคคนเดียว ในปี 1937 เธอพยายามที่จะบินรอบโลก และได้หายสาบสูญไปขณะที่กำลังบินข้ามทะเลแปซิฟิค จุดสุดท้ายของเธอคือเส้นทางการบินใกล้ๆเกาะฮาวแลนด์ หลายๆคนเชื่อว่าเครื่องบินของเธอน้ำมันหมดและตกไปในทะเล แต่หลายคนเชื่อว่าเธอบินไปพบกองทัพเรือของญี่ปุ่นเข้าเลยถูกจับและโดนสังหาร แต่ก็มีหลายคนอ้างว่าเห็นเธออาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

อันดับ 5


อดอฟ ฮิตเร่อ

เสียชีวิตจากการกินยาพิษ ฮิตเร่อประกาศว่าเค้าจะไม่ใช้ชีวิตอย่าง เบนิโต้ มุโสลินี หลังจากที่เค้าและภรรยาฆ่าตัวตาย ศพของเค้าถูกฝังิย่างลับๆในเมืองแมชเบริค แต่ศพเค้าก็ถูกขุดขึ้นมาเผาและนำขี้เถ้าไปโปรยในแม่น้ำเอวบ สตาลินเชื่อว่าฮิตเร่อยังไม่ตายแต่หลบหนีไปอยู่ที่อาเจนติน่าไม่ก็สเปน อีกฝ่ายเชื่อว่าทางเยอรมันพยายามปกปิดการมีชีวิตอยู่ของฮิตเร่อและใช้ห้องใต้ดินให้ฮิตเร่อหลบภัย แต่การชัญสูตรฟันก็ชี้ชัดว่าศพเป็นของฮิตเร่อ แต่ยังมีคนบอกว่าเห็นฮิตเร่ออยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง

อันดับ 4


ไมเคิล แจ็คสัน

การตายของเค้ายังเป็นที่ถกเถียงไม่สิ้นสุด หลายคนยังเชื่อว่าเค้ายังไม่ตายเพราะผลชัณสูตรศพกำกวมมากๆ หลายๆคนบอกว่าเค้ายังไม่ตายและข่าวการตายเป็นเพียงมุขหนึ่งที่ไมเคิลจงใจปล่อยหลังจากชีวิตเค้าตกต่ำลงเรื่อยๆ แล้วไมเคิลจะออกมาเฉลยตอนไหนหละ!?

อันดับ 3


Tupac Shakur

จนทุกวันนี้การตายของชาเคอยังเป็นปริศนาอยู่ แรปเปอผู้นี้เสียชีวิตจากการโดนลูกหลงของการยิงกัน หลายๆคนเชื่อว่าเค้ายังไม่ตายและชี้ข้อสงสัยนี้ไปยังค่ายเพลงเพราะหลังจากข่าวที่เค้าตาย มีการออกอัลบั้มที่อ้างว่าทำไว้ก่อนที่เค้าจะตายถึง 8 ชุดด้วยกัน และมีเพลงหนึ่งเนื้อหากล่าวถึงคนที่ตายแล้วฟื้น มีแม็กกาซีนและหนังสือซุบซิบดาราหลายเล่มลงภาพของชาเคอ และรูปล่าสุดที่ได้รับคือรูปของเค้าตอนกำลังดื่มในบาร์แห่งหนึ่ง

อันดับ 2


แกรนด์ดัช อาแนสตาเซีย

ทรงเป็นบุตรสาวคนเล็กของพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 หลายคนคิดว่าเจ้าหญิงองค์เล็กผู้นี้คงจะได้เสวยราชสมบัติอย่างยาวนาน แต่แล้วครอบครัวของพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยตำรวจลับจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะกำจัดราชวงศ์ของโรมานอฟในรัสเซียให้สิ้นซาก ทุกพระองค์ถูกยิงและเผาซ้ำ แต่จากการชัณสูตรศพต่างๆกลับไม่พบ DNA ของเจ้าหญิงองค์เล็กเลย จากปริศนาครั้งนี้หลายปีให้หลังมีหญิงสาวจำนวนมากอ้างว่าเป็นอแนสตาเซียที่หลบนี้การลอบปลงพระชนม์ครั้งนั้นมาได้ แต่คนที่เข้าข่ายน่าเชื่อถือที่สุดคือหญิงสาวที่ชื่อ แอนนา แอนเดอสัน แต่มีนาคม 2009 ดอคเตอร์ ไมเคิล โคเบิล ประกาศว่า DNA ของอแนสตาเซียถูกค้นพบในที่เกิดเหตุแล้ว….เชื่อได้หรือไม่!?

อันดับ 1


เอลวิส เพรชลี่

แฟนสาวของเอลวิส พบศพเค้าในห้องน้ำและจากการชัณสูตรสรุปว่าเค้าได้ใช้ยาเกินขนาด ศพเค้าถูกฝังที่เกรสแลนด์ข้างๆแม่ของเค้า แต่แฟนๆเค้ายังเชื่อว่าเค้ายังไม่ตายเพราะชื่อกลางเค้าที่สลักบนหลุมศพยังสะกดผิดเลย! และยังเชื่ออีกว่าในโลงนั่นเป็นหุ่นขี้ผึ้ง! แฟนๆเชื่อว่าเอลวิสต้องสร้างข่าวการตายของเค้าเพื่อหนีมาเฟียที่จ้องจะฆ่าเค้า หลายๆคนบอกว่าเคยเห็นเอลวิสตัวเป็นๆมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในเมืองเทนเนสซี่

 

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

6 หนังต้องคำสาป ผู้เกี่ยวข้องตายทุกเรื่อง



อันดับ 6 (ผีหลอกวิญญาณหลอน)

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวที่โดนผีหลอกวิญญาณหลอน ซึ่งรู้สึกว่าพวกวิญญาณจริงคงไม่ชอบให้มีการถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้สักเท่า ไหร่เลยสาปซะเลย ตอนแรกหนังเรื่องนี้มีดาราชื่อ โดมินิค ดันน์ (Dominique Dunne) มาแสดง (เข้าฟิล์มแรกฉากแรกเลยแหละ) แต่ถ่ายเสร็จปุ๊บเธอก็โดนบีบคอตายโดยแฟนเก่า โดยแฟนเก่าอ้างว่าเขาฆ่าเธอเพราะผีบอกว่าไม่อยากให้เธอแสดงหนังเรื่องนี้ จัดการกับเธอซะ!!

นอกจากนี้ก็มีปัญหาการถ่ายทำมากมาย เช่นเจมส์ โบรสัน ผู้สวมบทเป็นจอร์จ ลัทซ์พระเอกของเรื่องอ้างว่าเขาถูกโชคร้ายเล่นงานมาโดยตลอดในทันทีที่เขา เริ่มถ่ายภาพยนต์ วันแรกติดอยู่กับลิฟต์ วันที่สองในขณะที่ถ่ายไปเพียง 1 นาที เท่านั้นก็สะดุดจนขาแพลง ทำให้บริษัทต้องเสียเงินจำนวนมากเพราะความล่าช้า ในการถ่ายทำ จนผู้สร้างภาพยนตร์กลัวว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงจึงไม่กล้าใช้สถานที่จริงใน การถ่ายทำ


อันดับ 5 Superman (ทุกภาค)

ซุปเปอร์แมน ซุปเปอร์ฮีโร่ของมวลมนุษยชาติ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาดาราผู้รับบทซุปเปอร์แมน ดาราผู้ร่วมแสดง หรือแม้กระทั่งบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ซุปเปอร์แมน ต่างพบหายนะ เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่ปกติ, เกิดอุบัติเหตุ,เจ็บไข้ ได้ป่วย, ตกต่ำในหน้าที่การงาน ฯลฯ

เริ่มจาก ในปี ค.ศ.1950 เคิร์ค เอลิน ดาราคนแรกที่รับบทซุปเปอร์แมนในภาพยนตร์กลายเป็นดาราตกอับไม่มีใครจ้างและเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังในเวลาต่อมา แล้วคนต่อมาที่แสดงเป็นซุปเปอร์แมนคือจอร์จ รีฟส์ เป็นดาราคนต่อมาที่รับบทซูเปอร์แมน ระหว่างปีค.ศ.1952-1959 ก็เสียชีวิตอยู่ภายในห้องนอนในบ้าน โดยมีบาดแผลถูกยิงที่ศีรษะ 1 นัดโดยสันนิษฐานว่าน่าจะฆ่าตัวตายเพราะความเครียดแต่หลายคนคิดว่า เขาน่าจะถูกฆาตกรรมเสียมากกว่า

ต่อมาก็ถึงคิวของซุปเปอร์แมน คริสโตเฟอร์ รีฟ (1978) แต่ก็โชคร้ายเขาประสบอุบัติเหตุจากการขี่ม้าในปี ค.ศ.1995 ทำให้ต้องกลายเป็นอัมพาตนับแต่นั้น ตราบจนกระทั่งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี ค.ศ.2004 ด้วยวัยเพียงแค่ 52 ปี

จนกระทั่งในปัจจุบันเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นกับบรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ซุปเปอร์แมนก็ยังคงไม่ ยุติ เพราะมีรายงานว่า ทีมสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์แมนเรื่องใหม่ล่าสุดคือซุปเปอร์แมน รีเทิร์นส์ ก็เจอเรื่องเจ็บตัวไปตามๆกัน ผู้เคราะห์ร้ายก็มีร็อบ เบอร์เน็ทท์ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งถูกพวกหัวขโมย รุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส, อดัม โรบิเทลผู้มีหน้าที่ตัดต่อภาพยนตร์ ประสบอุบัติเหตุตกทะลุหน้าต่างและถูกเศษกระจกทิ่มทะลุปอดรวมทั้งได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง และทอดด์ สแตนลีย์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างและตากล้อง ก็ตกบันไดบาดเจ็บถึงขนาดกะโหลกศีรษะร้าวและนิ้วก้อยฉีก ฯลฯ


อันดับ 4 Atuk (ล้มเหลวในการถ่ายทำ)

หนังเกี่ยวกับชายตลกอ้วนจากนิวยอร์กอยากจะมาเป็นเอสกิโม แต่ดูเหมือนว่าคนในฮอลลีวู้ดจะเอาเรื่องเอสกิโมไปปู้ยี้ปู้ยำทำให้ เอสกิโมไม่ชอบ เลยสาปซะเลยโดยสาปว่าใครแสดงเป็นตัวเอกเรื่องนี้ต้องตายลูกเดียว!!

เริ่มจาก จอห์น เบลุชิดารานักแสดงนำของเรื่องตายด้วยการกินยาเกินขนาดในปี 1982ซึ่งเมื่อนายจอห์นตายทำให้ดาราตลกอย่าง แซม คินิสัน มาแสดงแทน จากนั้นก็มีปัญหามากมายตามมา จนทำให้หนังถูกแบ่งเป็น Re-written แต่พอปีผ่านมานิดหน่อย แซมคินิสันก็ตายเพราะรถชนอีก ทำให้บทละครตลกเกี่ยวกับชาวเอสกิโมต้องส่งต่อมาที่ จอห์น แคนดี้ใน ปี 1994

แต่หลังจากรับบทก็ตายด้วยหัวใจวายทันที ทำให้หนังเรื่องนี้โดนยกเลิกฟิล์มก็ยังถ่ายไม่เสร็จและตัวตลกอ้วนทั้งหลายสาบานว่าจะอยู่ห่างจากบทหนังเรื่องนี้ตลอดกาล ทำให้ฟิล์มทั้งหมดถูกฝังเก็บเข้ากรุที่ใดที่หนึ่งในออลวีวู้ด แต่ในปี 1997 ดาราชื่อ คริว ฟาร์ลีย์ คิดจะลองดูโดยไม่เชื่อคำสาป ผลเหรอเขากินยาเกินขนาดตายในปีนั้นแหละ!!



อันดับ 3 Rosemary's Baby (1968) (ทายาทซาตาน)

หนังเกี่ยวกับคนท้องซึ่งเด็กคนนั้นเป็นซาตานกำกับโดย โรมัน โป แลนสกี้แต่กว่าเป็นหนังก็ทำให้หลายคนประสาทจะกิน เริ่มผู้แต่งของฟิล์มตายเพราะก้อนเลือดแข็งตัวสมองต่อมาผู้ผลิตชื่อวิลเลี่ยมเป็นโรคประสาทและตายโดยอาการไตวายหลังจากฟิล์ม ผลิตออกมาไม่นานแต่เรื่องข้างต้นอย่างน้อยไปเมื่อเทียบกับภรรยาของโรมัน โปแลนสกี้ ที่ชารอน เทท(ซึ่งกำลังต้องท้องเหมือนนางเอกในหนังเรื่องนี้)

เรื่อง ของเรื่องคือฆาตกรต่อเนื่องคนหนึ่งชื่อ ชาร์ลส์แมนสันและสมุนเกิดไม่พอใจที่โปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่ไม่ยอมอัดเทปเขา เลยวางแผนการปล้นฆ่าในคฤหาสน์ของโปรดิวเซอร์คนนี้ แต่พอดีคฤหาสน์ดังกล่าวผู้กำกับโปแลนสกี้ดันเป็นคนเช่าต่อ แล้วในวันที่ 8 สิงหาคม 1969แต่พอดีวันนั้น โรมัน โปแลนสกี้ ไม่อยู่บ้าน ทำให้สมุนแมนสันเลยฆ่าคนในคฤหาสน์แทน

โดยเฉพาะชารอน เทท นั้นโดนหนักสุดทั้งๆ ที่เธอกำลังท้องอยู่แท้ๆ แต่พวกเขาแทงเธอถึง 16 แผลจากนั้นก็ใช้มีดผ่าท้องของเธอจนเหวอะหวะ และถูกไม้ตีที่ศีรษะซ้ำ พวกมันตัดเต้านมของเธอทิ้งทั้งเป็นแล้วใช้มีดเล่มนั้นชำแหละกรีดตั้งแต่บริเวณยอดอก จนถึงหัวหน่าว เลือดสดๆของเธอกระจายเต็มบ้านมิหนำซ้ำ สาวกปิศาจ ชาร์ลส์แมนสัน ยังใช้แปลงจุ่มเลือดเขียนคำว่า "PIG(หมู)"ตัวโตไว้ที่บานประตูบ้าน(เหมือนในหนังไม่มีผิด) เมื่อแมนสันถูกจับได้ยกแก๊ง พวกเขาอ้างเหตุในศาลว่าเป็นเพราะคำสาปครับท่าน


อันดับ 2 The Conqueror (1956) (คนมหากาฬผ่าแผ่นดินเดือด)

ถ้าคุณจะสร้างหนังเกี่ยวกับเจงกีสข่านคุณอาจพบคำสาปเช่นหนังเรื่องนี้กับเรื่องคนมหากาฬผ่าแผ่นดินเดือดซึ่งสมกับเป็นชื่อหนังจริงๆเพราะกว่าจะทำเสร็จเล่นเอาเดือดเช่นเดียวกับชื่อหนังนั้นแหละ

เรื่อง ของเรื่องคือ ปี 1950 ปีที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ทีมงานถ่ายทำหนังเรื่องนี้เกือบตายยกกองไล่ตั้งแต่ ซูซาน เฮย์วาร์ด โดนกลุ่มเสือดาวจู่โจมแต่โชคดีรอดมาได้ แล้วต่อมาก็เจออีกเมื่อบ้านผู้กำกับโดนไฟไหม้ แถมสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ที่ทะเลทรายซาทาร่าโดนเป็นจุดถ่ายทำหนังเรื่องนี้ บังเอิญพอดีที่ทางการสหรัฐทดลองระเบิดปรมาณูเสียอีก โดยทดลองไป 11 ลูก (อะไรจะซวยขนาด)แถมเกิดขึ้นหลังหนังใกล้ถ่ายทำจบแล้ว ทำให้ทีมงานต้องดันทุรังถ่ายหนังต่อไป(ใกล้จุดทดลองระเบิดนั้นแหละ)ท่ามกลาง ความร้อนถึง 120 องศาในทะเลทราย ทำให้โดนกัมมันตรังสีเต็มๆ

ทำ ให้ 2-3 ปี ต่อมา 91 คน จาก 220 สมาชิกกองถ่ายเป็นมะเร็ง และอีก 46 คนตายเพราะโรคนี้รวมถึงดารานำและผู้กำกับ ซูซาน เฮย์วาร์ด และผู้กำกับ และทำให้ เปโดร อาร์เมนดาริซ ซึ่งเป็นดารนำเรื่องนี้ต้องฆ่าตัวตายอีกหลังทราบข่าวว่าเขาเป็นมะเร็ง



อันดับ 1 The Omen(1976) (666 ซาตานล้างโลก)

เป็นหนังเกี่ยวกับซาตานล้างโลกอีกแหละ ซึ่งดูเหมือนสวรรค์จะไม่ชอบหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่เลยต้องมีการลงโทษ(จาก สวรรค์)

เริ่มจากระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เครื่องบินที่คนเขียนบท เดวิด เซลท์เซอร์นั่ง โดนฟ้าผ่าแต่โชคดีที่ไม่ตาย ต่อมานักแสดงชื่อเกรกอรี่ เพ็ค และ ผู้ช่วยผู้กำกับ เมซ เนียวเฟลด์ซก็โดนฟ้าผ่าเครื่องบินเช่นกัน (โชคดีว่าฟ้าผ่าหนเดียวแหละ)

นอกจากนี้โรงแรงที่ เนียวดฟลด์ซไปพักระหว่างถ่ายทำถูก IRA บอมบ์ตรงร้านอาหารที่ผู้กำกับและนักแสดงกำลังจะไปกินข้าว โชคดีอีกแล้วที่ไม่มีใครม่อง

แต่ที่ปรึกษาผู้ช่วยสเปเชียวเอฟเฟก ชื่อ จอห์น ริชาร์ดสัน ไม่โชคดีด้วยโดย วันศุกร์ที่ 13 สิงหา ปี 1976 เขาขับรถชนในฮอลแลนด์ ผู้ช่วยของเขาถูกตัดเป็นชิ้นๆด้วยล้อหน้า บดเละไปกับซากรถ ซึ่งรถคนนั้นเกิดเหตุตรงที่ป้ายข้างถนนเขียนว่า Ommen 66.6km.!! จากนั้นเวลาต่อมาลูกชายของเกรกอรี่ เพคก็เอาปืนยิงฆ่าตัวตายอีกทำให้หลายๆ คนเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีคำสาป
                                จากทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไปหาดูกันเอานะครับ